บันทึกประสบการณ์ติดเชื้อโควิดปี 2022

23 กุมภาพันธ์ 2565 คือวันที่ผมรู้ตัวเองว่าติดเชื้อโควิด ณ วันนี้ รัฐบาลยังนับผู้ติดเชื้อจากผลการ PCR Test เท่านั้น ยอดผู้ติดเชื้ออยู่ที่ 20,000 กว่าคน หากนับรวม ATK Test ตัวเลขก็จะอยู่ที่ประมาณ 40,000 คน

รวมทั้งโลก วันนี้วันเดียวติดเชื้อเพิ่ม 1.6 ล้านคน และผมก็เป็นหนึ่งในล้านนั้น!

อาการเริ่มจากเจ็บคอ ตัวอุ่นๆ ก็สงสัยตัวเองตั้งแต่วันแรก เลยตรวจ ATK แบบน้ำลาย ผลยังเป็นลบก็เลยอุ่นใจว่าคงป่วยเป็นไข้หวัดธรรมดา พอกินยาลดไข้ก็หาย แต่ก็มีอาการไอและเสมหะเพิ่มขึ้นมา อีก 3 วันหลังจากนั้นก็เลยลองตรวจอีกรอบ(แบบน้ำลาย) ผลเป็นบวกแบบจางๆ เพื่อความชัวร์ เลยไปหาซื้ออีกยี่ห้อนึงมาตรวจ(เป็นแบบน้ำลายเหมือนเดิม) ผลตรวจออกมาขัดแย้งกับยี่ห้อแรกก็เลยต้องไปหาซื้อยี่ห้อที่ 3 มาตัดสิน คราวนี้เลือกเป็บบปั่นจมูก ผลออกมาเป็นบวกชัดเจน สรุปคือการเทสแบบน้ำลายเชื่อถือไม่ค่อยได้ ไม่แนะนำ

เข้าสู่กระบวนการ

พอรู้ว่าติดโควิด ก็แจ้งบริษัทเพื่อเข้าโครงการ Factory SandBox ขั้นตอนการแจ้งรวดเร็วดี บริษัทประสานงานกับโรงพยาบาลเสร็จก็โทรมาบอกว่าประสานงานให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นไม่นานบริษัทก็ส่งรถพยาบาลมารับถึงหน้าบ้าน ต้องขอบคุณคนขับรถที่ไม่ได้เปิดไซเรนเข้ามาในหมู่บ้าน แค่นี้คนในหมู่บ้านผมก็ตกอกตกใจกันแทบแย่แล้ว! คนขับรถมาในชุดหมีคลุมทั้งตัว ออกมาเปิดประตูท้ายรถให้ผม ภายในรถก็เหมือนรถฉุกเฉินที่เห็นในหนัง มีเตียงสนาม มีอุปกรณ์ช่วยชีวิต คนขับรถจะต้องไปรับผู้ติดเชื้ออีก 2 คน รู้ทั้งรู้ว่าตอนนี้ตัวเองติดเชื้อโควิดแล้ว แต่เวลาที่ต้องนั่งใกล้ๆกับผู้ติดเชื้อคนอื่นๆ ความรู้สึกกลัวก็ไม่ได้หายไปไหน “ผมกลัวติดโควิด ทั้งๆที่ติดอยู่แล้ว”

รถพยาบาลมาส่งผมที่โรงพยาบาลวิภารามเวลา 4 โมงเย็น แน่นอน เขาไม่ให้โรงพยาบาล เขาให้รออยู่ที่ลานจอกรถกลางแจ้ง มีเต็นท์สนามกางให้หลบแดด มีเก้าอี้ให้นั่งรอ ซึ่งจำนวนไม่เพียงพอ ทำให้หลายๆคนต้องยืน ใครลุกจากเก้าอี้ถ้าไม่เอากระเป๋าวางจองไว้ก็จะมีคนมาคว้าไปนั่งทันที แสงแดดแผดเผามาก ทำให้แต่ละคนกระจัดกระจายกันไปอาศัยเงาร่มไม้ตามจุดต่างๆ มีกระเป๋าคนละใบสองใบ มองๆดูแล้วเหมือนแคมป์ผู้ลี้ภัยสงคราม คิวผมจะได้ขึ้นรถรอบ 6 โมงเย็น ต้องยืนรออีก 2 ชั่วโมงกะว่าคงพอไหว แต่ที่ไหนได้ปาไปเกือบ 7 ชั่วโมงกว่าจะได้เข้าโรงแรมที่พัก เหนื่อยมากที่ต้องยืนรอท่ามกลางอากาศร้อนๆ รอตั้งแต่บ่ายยันมืด เริ่มหมดพลัง เริ่มเหนื่อยล้า เริ่มหิว ไม่มีข้าว ไม่มีน้ำ

เวลาตอนนี้คือ 2 ทุ่ม ผมก็ยังคงยืนรออยู่ที่เดิม รถตู้รับส่งผู้ป่วยติดเชื้อมีเพียงคันเดียว เฉลี่ยไป-กลับ 1 เที่ยวใช้เวลา 1 ชั่วโมง ปริมาณผู้ป่วยรอบ 5 โมงยังเหลือตกค้างอยู่เพียบเลย ส่วนผมเป็นคิวรอบ 6 โมง คงต้องรอต่อไปอีกนาน สงสารผู้หญิงกับคนที่ป่วยอาการเยอะๆ แต่ในวิกฤตยังมีโชคดีอยู่บ้าง อย่างแรกคือ มีเพื่อนอาสาซื้อของจากเซเว่นมาฝาก ผมขอสบู่ ยาสระผมแล้วก็ขนมที่ให้พลังงานจำพวกขนมปังและช็อคโกแลท ทีแรกเพื่อนก็แปลกใจ ป่วยแบบนี้ยังห่วงกินช็อคโกแลทอีกหรอ? แต่บอกเลยว่ามันช่วยได้เยอะ โชคดีอย่างที่สองคือ มีคนโทรเข้าบริษัทเพื่อขอให้บริษัทจัดรถพิเศษมารับพนักงานของบริษัทโดยเฉพาะ บริษัทตอบรับดำเนินการจัดรถให้ 2 คันอย่างรวดเร็ว (PR ให้นิดนึง) กว่าจะมาถึงที่พักก็ 4 ทุ่ม ยังไม่ได้เข้าพักในทันทีนะครับ ต้องรอให้คนตกค้างคนอื่นๆมาถึงให้ครบเสียก่อนเพื่อจะได้เข้าห้องพักทีเดียวพร้อมกัน แต่ตอนนี้สภาพของแต่ละคนโดยเฉพาะผู้หญิงอิดโรยมากๆเพราะรอคอยมา 6 ชั่วโมงเต็มๆ ผมเลยคุยกับพยาบาลเพื่อขอขึ้นห้องพักก่อน ถ้าต้องรอให้คนตกค้างมากันจนครบคงอีกหลายชั่วโมงแน่ๆ พยาบาลเลยให้คีย์การ์ดเรามา 1 คน ต่อ 1 ห้อง พร้อมทั้งให้เราสแกน QR Code เพื่อเข้าไปอยู่ในกลุ่มผู้ป่วย พอเข้าไปอยู่ในกลุ่ม เขาก็ขอข้อมูลส่วนบุคคลของแต่ละคนในกลุ่มซึ่งไม่โอเคเลย แต่ไม่มีทางเลือก แม้แต่บัตรประชาชนก็ต้องถ่ายรูปส่งเข้าไปในกลุ่ม

ขึ้นห้องได้แป๊บเดียว ยังไม่ทันจะทำไรเลยก็โดนเรียกลงมาตรวจ PCR และเจาะเลือด พยาบาลแจกเอกสารยินยอมเข้ารับการรักษาประมาณ 10 กว่าแผ่น อ่านกันดีๆก่อนเซ็นนะครับ ชุดไหนที่อ่านแล้วผมไม่โอเค ผมก็ไม่เซ็น(ทั้งนี้ก็ได้อธิบายกับหมอแล้วว่าทำไมถึงไม่เซ็น) กว่าจะตรวจเสร็จ กว่าจะอาบน้ำ กว่าจะได้นอนก็เที่ยงคืนกว่าๆ จากเดิมที่อาการน้อยๆก็เริ่มจะมาหนักก็เพราะแบบนี้แหละ

อาหารการกิน

ข้าวกล่องจะถูกวางไว้โต๊ะหน้าห้อง

แต่ละมื้อ จะมีคนเอาข้าวกล่องมาวางไว้ที่หน้าห้อง แล้วเขาก็จะกดกริ่งเป็นสัญญาณให้รู้ว่ามีอาหารมาส่งแล้ว ช่วงเวลาที่มาส่ง บางวันช้ามากจนหิว บางวันก็เร็ว ไม่มีมาตรฐาน ปริมาณอาหารไม่ค่อยสมดุลย์ คือ ให้ข้าวมามากกว่ากับข้าว ส่วนมากผมกินกับหมดก่อนข้าวประจำ

ตัวอย่างเมนูอาหาร

เมนูส่วนมากเป็นเมนูที่ไม่ค่อยมีผัก ไม่ถูกหลักโภชนาการเหมือนของโรงพยาบาล ทำให้ผมมีปัญหาเรื่องการขับถ่าย ด้านรสชาติผมว่าค่อนไปทางอร่อย แรกๆผมเข้าใจว่าทางโรงแรมไปเหมาซื้อข้าวกล่องจากร้านอาหารข้างนอกมาส่งให้แต่ละห้อง แต่มีอยู่วันนึง คนส่งข้าวลืมเอาข้าวมาส่งที่ห้องผม รอนานมากจนหิวโซเลยโทรไปตามจึงได้รู้ว่าข้าวกล่องพวกนี้ทางโรมแรมเป็นคนทำเอง บางมื้อที่แม่ครัวทำเมนูที่ไม่ถูกปากก็ต้องกล้ำกลืนฝืนกิน ขอเพิ่มได้ถ้าไม่อิ่ม แต่ก็จะได้อาหารเมนูเดิม สามารถสั่งของผ่านแอพต่างๆได้โดยต้องจ่ายเงินให้เรียบร้อยแล้วให้เมสเซ็นเจอร์เอามาฝากไว้ที่ล็อบบี้โรงแรม แล้วโรงแรมจะเอาของที่แต่ละคนสั่งมาวางไว้ที่หน้าห้องทุกๆวันอังคารกับวันพฤหัสบดี ส่วนผมไม่มีแอพสั่งอาหารในโทรศัพท์มือถือเลยแม้แต่แอพเดียว ผมเลยใช้วิธีเดียวกันกับหนังเรื่อง The 33 ที่คนงานเหมืองแร่ประเทศชิลีจำนวน 33 คนไปติดแหง็กอยู่ใต้เหมืองและมีอาหารพอประทังชีวิตจำนวนจำกัด ถ้าอยากรู้เขาทำยังไงลองไปหาดูกันนะครับ

ชีวิตความเป็นอยู่

ที่พักดีเลย ทันสมัย สะดวกสบาย ขนาดห้องไม่เล็กไม่ใหญ่ เปิดประตูเข้ามา ด้านขวามือจะเป็นห้องน้ำขนาดกว้างพอ เวลาเข้าไปไม่รู้สึกอึดอัด ภายในมีห้องอาบน้ำแบบ Shower และ Rain Shower กั้นด้วยกระจกสูงท่วมหัว อ่างล้างหน้าใหญ่พอที่จะซักผ้า ล้างจานได้ ข้างๆอ่างล้างหน้ามีกะละมังใบเล็กๆ, น้ำยาล้างจาน และผงซักฟอกเตรียมไว้ให้ รวมถึงอุปกรณ์อาบน้ำ ตรงข้ามห้องน้ำเป็นตู้เก็บเสื้อผ้าบิลด์อิน มีตู้เย็นเล็กๆให้ 1 ตู้ เดินมาอีกนิดฝั่งขวาเป็นเตียง ฝั่งซ้ายเป็นทีวีและมุมกินข้าว เดินมาจนสุดห้องจะเจอประตูที่ออกไปนอกระเบียง สิ่งที่แย่คือไม่มี Room service ตลอดระยะเวลาการเข้าพัก เมื่อผ่านไป 3-4 วันจะรู้สึกได้ถึงฝุ่นที่ลอยล่องอยู่ในอากาศอย่างชัดเจนจนต้องเอาหน้ากากมาใส่ ของจำพวกขยะ จะมีถุงขยะเตรียมไว้ให้เป็นแพ็ค หากต้องการทิ้งให้มัดปากถุงแล้วเอามากองไว้หน้าห้องใครห้องมัน จะมีคนมาเก็บทุกวัน

ห้องพักโรงแรม 3 ดาว

พอเข้าสู่วันที่ 3 จากที่เคยให้พักห้องละคน เปลี่ยนเป็นพักห้องละ 2 คน เพราะมีผู้ป่วยที่รอเข้ารับการรักษาเพิ่มอีก 400 คน! ใครที่ประสงค์จะพักเดี่ยวต้องจ่ายเพิ่ม 600 บ./คืน ความนัวก็บังเกิด เมื่อหลายคนขอกลับไปรักษาตัวที่บ้านเพราะไม่อยากพักร่วมกับคนไม่รู้จัก แต่โรงพยาบาลไม่อนุญาตให้กลับ โดนไฟต์บังคับแบบนี้ผู้ป่วยเลยจับคู่กันเอาเอง โดยส่วนมากก็จับคู่กับห้องใกล้ๆกัน ส่วนคนที่หาคู่ไม่ได้ โรงแรมจะเป็นคนจับคู่ให้ โรงแรมก็มั่วอีก บางคนเก็บกระเป๋าออกจากห้องเพื่อจะไปห้องใหม่ที่โรงแรมจับคู่ให้ แต่พอไปเคาะประตู ปรากฏว่าห้องนั้นมีคนอยู่เต็มแล้ว! บางคนคอนเฟิร์มว่าจะอยู่คนเดียว ยอมจ่ายส่วนต่าง แต่โรงแรมก็นำไปจับคู่กับห้องอื่นอีก!

การรักษา

การดูแลรักษาไม่ค่อยทั่วถึง น่าจะเป็นเพราะจำนวนผู้ป่วยติดเชื้อที่เยอะมากๆบวกกับกลุ่มเราเป็นผู้ป่วยสีเขียว เวลามีผู้ป่วยถามลงไปในไลน์กลุ่ม ไม่ค่อยจะได้รับคำตอบเท่าไหร่ หลายคนขอร้องให้เข้ามาตอบข้อสงสัยแต่ก็ถูกเพิกเฉยเหมือนเดิม ผมเคยถามไปในกลุ่มครั้ง/สองครั้งก็ไม่ได้รับคำตอบเช่นกัน ต้องโทรเท่านั้น โทรครั้งแรกจะเป็นการรับเรื่องไว้ ถ้าไม่โทรตามอีกรอบก็จะถูกลืม ใครที่มีอาการทรุดหนัก เขาจะส่งตัวกลับไปรักษาที่โรงพยาบาล ส่วนคนที่ไม่มีอาการ ก็ให้อยู่ไปเรื่อยๆจนครบระยะ 10 วัน

ยาแก้ไอตราไวกิ้ง

แจกยา 2 ครั้ง ครั้งแรกจะเป็นยาทั่วไป มียาแก้ไอที่รสชาติแย่ยิ่งกว่าเหล้าขาว, ยาพารา, ยาขับเสมหะ, และยาแก้แพ้ ครั้งที่สองแจกฟ้าทลายโจรให้กินวันละ 16 เม็ดเป็นระยะเวลา 5 วัน การตรวจอุณหภูมิร่างกาย ค่าออกซิเจน และอัตราการเต้นของหัวใจนั้นผู้ป่วยจะต้องตรวจกันเอง โดยพยาบาลจะแจกอุปกรณ์การตรวจมาให้ จะมีปรอทกับเครื่องวัดแบบหนีบนิ้ว สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวจะได้รับเครื่องวัดความดันเพิ่มอีกอัน เมื่อตรวจเสร็จ แต่ละคนจะต้องถ่ายรูปค่าที่วัดได้ส่งเข้ามาในไลน์กลุ่มทุกวัน ซึ่งบอกเลยว่าไอ้ที่ส่งๆไป พยาบาลไม่ได้ดูเลย แค่เลื่อนผ่านๆให้มันพ้นๆไป! ที่กล้าพูดแบบนี้เพราะตัวผมไม่เคยวัดค่าถ่ายรูปส่งเข้าไลน์กลุ่มเลยแม้แต่วันเดียว ก็ไม่เห็นมีใครมาท้วงตาม และสิ่งสำคัญที่เป็นไฮไลท์เลย นั่นก็คือ การตรวจปอด ผู้ป่วยจะได้รับการตรวจปอด 3 ครั้ง คือ วันที่ 2,6,8 เมื่อถึงวันตรวจ(ผมเรียกว่าวันนรก) พยาบาลจะส่งรายชื่อเข้ามาในไลน์กลุ่ม แล้วคนที่มีรายชื่อก็จะต้องไปลงรับบัตรตรวจ แล้วก็รอรถตู้มารับไปตรวจที่โรงแรมอื่น ซึ่งรถตู้มีวิ่งอยู่ 2-3 คัน วิ่งวนรับ-ส่งจนกว่าจะครบทั้งหมด และที่บันเทิงกว่านั้นคือ เมื่อไปถึงจุดตรวจปอด(เป็นรถตรวจแบบเคลือนที่) เราจะพบผู้ป่วยจากที่อื่นอีก 3 โรงแรมมารอตรวจ! แถวยาวเหยียดแล้วก็ไม่มีระเบียบเลย รถตรวจมีเพียงแค่คันเดียว แต่มีแถวรอตรวจถึง 4 แถว และไม่กำหนดชัดเจนว่าแถวไหนจะได้ไปก่อน ขึ้นอยู่กับว่าใครไวก็ได้ตรวจก่อน ทำให้แต่ละแถวต่างฝ่ายต่างดันเบียดเพื่อที่จะได้เข้าไปตรวจก่อน ติดดชิดกันมาก นาทีนี้คงไม่ได้เป็นแค่โควิดแล้ว…น่าจะได้เป็นผัวเป็นเมียกันด้วย! จนผู้ชายที่ต่อแถวอยู่ข้างหลังผมเป็นลมล้มหัวฟาดพื้น ดังมาก! ผู้หญิงร้องตกอกตกใจกันเสียงดัง พยาบาล 4-5 คนพากันวิ่งเข้ามาช่วยปฐมพยาบาล เห็นได้ชัดว่าการจัดการไม่ดีเอาเสียเลย เอาผู้ติดเชื้อมารวมกันแทนที่จะแยกเป็นช่วงเวลา

สรุปภาพรวม

ตลอดช่วงเวลาที่พักรักษาตัวที่โรงแรม มีคนเป็นห่วงผมว่าจะเป็นโรคซึมเศร้า ช่วงวันแรกๆ ผมเองก็ไม่กล้าตอบ ว่าจะเป็นหรือเปล่าเพราะไม่เคยมาแบบนี้ เคยไปเที่ยวต่างประเทศคนเดียวเกือบๆ 10 วันก็ไม่มีอาการซึมเศร้าแต่นั่นอาจเพราะว่าไปเที่ยวไปสนุกก็เลยไม่เกิดอาการซึมเศร้า

ตอนนี้ได้คำตอบแล้วว่า ไม่เลย ไม่แม้แต่เหงา ไม่ใกล้เคียงกับคำว่าซึมเศร้า ไปเที่ยวต่างประเทศยังเหงากว่านี้อีก ที่นี่มีทีวี มีเคเบิ้ล ช่องข่าวช่องหนังทั้งไทยและต่างประเทศให้ดูได้ไม่เบื่อ จนผมกลายเป็นแฟนข่าวช่อง Sky News กับ Alja Zeera การใช้ชีวิตช่วงแรกๆอาจมีติดๆขัดๆ เช่น นอนดึก ตื่นเช้า แต่พอปรับกิจวัตรประจำวันของเราได้แล้ว ทุกอย่างลงตัวมาก เช่นเดียวกับอาหาร ช่วงวันแรกๆดูไม่โอเคแต่พอเราปรับตัวเข้าหามันได้ ทุกอย่างก็ดูราบรื่น มีเวลาเขียนหนังสือ อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย ดูทีวี

ด้านที่พัก แม้จะให้อยู่ห้องละ 2 คน แต่ตัวผมเลือกที่จะอยู่คนเดียวโดยยอมจ่ายส่วนต่าง พอถึงวันสุดท้ายที่ออกโรงแรม เขาก็ไม่ได้คิดเงินเพิ่ม(น่าจะขู่ หรือไม่ก็ลืม) จุดที่ควรจะต้องแก้ไขก็เป็นในเรื่องของการจัดการ รู้สึกว่ายังไม่ดีพอในการจัดสรรผู้ป่วย/จัดระบบคิว ในภาพรวมถือว่าโอเคในระดับนึง แต่ถ้าต้องให้ผมเลือกอีกครั้งระหว่างรักษาตัวที่โรงแรมกับที่บ้าน…ผมเลือกที่บ้านดีกว่า

Nokia จากสูงสุดสู่ต่ำสุด เรื่องเล่าจากความผูกพัน ตอนที่1

ใครที่เติบโตมาในช่วงปี 2000 เป็นต้นมา น่าจะทราบกันดีว่า ในยุคนั้น คือ ยุคทองของแบรนด์โทรศัพท์มือถือจากประเทศฟินแลนด์อย่างNokia

เป็นยุคที่ Nokia ครองตลาดและมีไลน์อัพสินค้าปล่อยออกมาเยอะมากๆ

วันนี้ ผมจะพานั่งไทม์ แมชชีน ย้อนเวลาไปดูโทรศัพท์มือถือของ Nokia ในอดีต ว่าแต่ละช่วงเวลา Nokia ได้สร้างอารายธรรมความรุ่งเรืองทางเทคโนโลยีอะไรไว้บ้าง?

ขอตัดตอนมาเริ่มที่ธุรกิจเกี่ยวกับโทรศัพท์เลย เพราะถ้าเอาตั้งแต่เริ่มก่อตั้งตอนที่ยังเป็นโรงงานผลิตเยื่อกระดาษ เดี๋ยวจะยาวไป

เริ่มที่ปี 1960 Nokia เริ่มผลิตโทรศัพท์ครั้งแรกให้กับกองกำลังทหาร และอีก 7 ปีหลังจากนั้นจึงเริ่มวางขายในประเทศฟินแลนด์ ซึ่งโทรศัพท์ในยุค Cellular นี้ยังมีขนาดใหญ่ ถอดแบบมาจากของทหาร หนักเกือบ 10 กิโล! โดยน้ำหนักหลักๆมาจากแบตเตอรี่ และ Nokia ก็ทราบดีว่านี่คือปัญหา พวกเขาจึงได้พัฒนารุ่นใหม่ๆให้มีขนาดและน้ำหนักลดลงเรื่อยๆ จนกระทั่งเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุค 2G Nokia ได้พัฒนาตัวเองอย่างก้าวกระโดด เริ่มตั้งแต่การเสกโทรศัพท์มือถือที่มีขนาดเกือบๆกระติกแช่น้ำแข็ง หนักเกือบ 10 กิโลฯให้เหลือเพียงขนาดเท่าๆฝ่ามือกับน้ำหนักไม่ถึง 1 กิโลฯ (Nokia Mobira Cityman) กับราคาหลักแสน แพงมากเมื่อเทียบกับค่าเงินในยุคนั้น ทำให้บุคคลระดับเศรษฐีเท่านั้นที่จะมีไว้ในครอบครอง

Nokia กระติกน้ำ
Nokia Mobira Cityman หรือที่หลายๆคนเรียกรุ่นกระติกน้ำ

 

สมัยนั้น ทั้งหมู่บ้านจะมีโทรศัพท์อยู่แค่เครื่องเดียว จะใช้โทรออกก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเท่านั้น โดยคิดค่าบริการนาทีละเกือบ 20 บาท ส่วนเวลาที่ญาติติดต่อมาจากต่างจังหวัด(ซึ่งส่วนมากก็เป็นเรื่องคอขาดบาดตายเหมือนกัน) บ้านเจ้าของเครื่องโทรศัพท์จะส่งคนมาตามที่บ้านเราเพื่อให้โทรกลับหาญาติ คิดค่าตามครั้งละ 20 บาท และค่าโทรกลับก็คิดตามนาที

Nokia เป็นเจ้าแรกในการเปิดให้บริการโรมมิ่งข้ามประเทศกับเครือข่าย GSM จนกลายเป็นมาตรฐานใหม่ของยุโรปในเวลานั้น รวมถึงออกรุ่น Nokia 1100 ที่มีฟังก์ชั่นใหม่เพิ่มเติมเข้ามา เช่น การส่งข้อความสั้น หรือ SMS (Short Message Service) ฟังก์ชั่นนี้มาเพื่อฆ่าเพจเจอร์โดยแท้ ทำให้ในปี 1998 Nokia สามารถเอาชนะ Motorola ขึ้นแท่นเป็นโทรศัพท์ที่ขายดีที่สุดในโลก กับยอดการผลิตล้านเครื่อง

พูดถึงเพจเจอร์แล้ว สมัยก่อนใครที่มีเพจเจอร์ ถือว่าเก๋สุดๆ มันคืออุปกรณ์อิเล็คโทรนิคส์ขนาดพกพา อาศัยพลังงานจากถ่านขนาด 2A, 3A ที่เอาไว้ใช้อ่านข้อความสั้นๆ สามารถรับได้อย่างเดียวเท่านั้น ไม่สามารถส่งได้ หากต้องการส่งข้อความให้ผู้อื่น จะต้องโทรเข้าไปฝากข้อความที่ Call Center แล้วเจ้าหน้าที่ Call Center จะแปลงข้อความเสียงของเราเป็นตัวอักษรส่งไปยังหมายเลขปลายทางที่เราต้องการ แรกๆสามารถอ่านค่าได้เป็นโค๊ดตัวเลข เลยมีแค่กลุ่มนักธุรกิจที่ใช้กัน หลังๆพัฒนาให้สามารถอ่านเป็นตัวอักษรได้ จึงเป็นนิยมมากสำหรับหมู่วัยรุ่นที่เอาไว้ใช้ส่งข้อความสั้นๆจีบกัน ซึ่งการเดินทางรวดเร็วกว่าส่งจดหมายหลายเท่าตัว จึงแพร่หลายอย่างมากในหมู่นักเรียน / นักศึกษา

Pager Ezycall1

 เมื่อเวลาผ่านไป ค่าบริการโทรศัพท์มือถือปรับลดลง รวมถึงเริ่มมีการพัฒนาเครือข่ายสัญญาณให้ครอบคลุมทุกจังหวัดทั่วประเทศ โดยคิดค่าโทรตามเขต เช่น หากใช้เบอร์ที่จดทะเบียนอยู่ภาคเหนือ โทรไปหาเบอร์ที่จดทะเบียนอยู่ภาคกลาง ราคาจะแพงกว่าโทรหาภูมิภาคเขตเดียวกัน ทำให้เกิดธุรกิจตั้งโต๊ะ โทรทั่วไทยนาทีละ 3 บาท เป้นช่วงเวลาเดียวกันกับที่องค์การโทรศัพท์แห่งประ้เทศไทยเองก็ได้เร่งติดตั้งตู้โทรศัพท์สาธารณะให้ครอบคลุมทุกแห่งหนตำบล แม้แต่หมู่บ้านบนเขาบนดอย

หมู่บ้านผมมีทั้งหมด 5 ตู้ เทียบเป็นอัตราส่วนก็คือ 1 ตู้ต่อเกือบๆ 200 หลังคาเรือน! ทำให้เกิดปรากฏการณ์ต่อคิวใช้ตู้โทรศัพท์ ช่วงเย็นๆจะเห็นวัยรุ่นมายืนต่อแถวเข้าคิวใช้ตู้โทรศัพท์สาธารณะ มีทั้งโทรจีบกัน โทรส่งข้อความเข้าเพจเจอร์ โทรขอเพลงดีเจ ซึ่งตัวผมเองก็เคยไปยืนต่อแถวกับเขาอยู่เหมือนกัน ช่วงม.ต้น จะโทรไปขอเพลง ส่วนม.ปลาย จะโทรไปจีบสาวซึ่งต้องเตรียมเหรียญไปให้พร้อม บางคนเตรียมมาอย่างกับโรงกษาปณ์สาขาย่อย!

นอกจากนี้ ยังมีแก๊ง “สายเปลี่ยว” กลุ่มคนพวกนี้ คือ ไม่มีใครให้โทรหาและไม่รู้จะโทรหาใคร แล้วก็ไม่มีตังค์จะโทรหาใคร แต่อยากโทร! ก็เลยไล่โทรหาเบอร์ที่โทรออกฟรี(พวกเบอร์ฉุกเฉิน 191 อะไรพวกนี้) พอปลายทางรับสาย ก็จะตะโกนว่า “ไฟไหม้” แล้วรีบวางสาย ขี่มอเตอร์ไซด์หนีไปเลย! ส่วนอีกแก๊ง คือ “เหล็กสอด”  แก๊งนี้จะตระเวนขี่รถมอเตอร์ไซด์ไปตามตู้โทรศัพท์สาธารณะจุดต่างๆ เอาเหล็กแผ่นบางๆสอดเข้าไปในช่องรับเหรียญ แล้วเหรียญก็จะไหลออกมาเยอะแยะเลย ทำกันเป็นล่ำเป็นสันจนตำรวจต้องออกมากวาดล้าง


เมื่อเข้าสูปี 2000 Nokia เปิดโรงงานใหม่ที่ประเทศฮังการีเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตและได้เปิดตัวรุ่นที่ไม่มีใครในยุคนั้นไม่รู้จัก นั่นก็คือ Nokia 3310 ที่มียอดขายทั่วโลก 126 ล้านเครื่อง! ด้วยความที่ว่า สามารถเปลี่ยนหน้ากากได้, ปรับแต่งเสียงริงโทนเองได้, มีฟังก์ชั่นพิมพ์ภาษาไทยได้(ในอีก 2 ปีถัดมา) และที่สำคัญที่สุด คือ ตัวเครื่องมีความถึกทนมากๆๆๆ เพื่อนผมทำตกจากตึกเรียนชั้นสอง ร่วงหล่นสู่พื้นปูน ตัวเครื่องแตก ชิ้นส่วนกระเด็น กระจัดกระจาย เพื่อนรีบวิ่งจากชั้นสอง ตามไล่เก็บชิ้นส่วนจนครบ แล้วประกอบกลับเข้าไปใหม่ …เปิดติด ใช้งานได้เฉยเลย!

อีกเหตุผลที่ทำให้วัยรุ่นใช้กันเยอะ นั่นคือ เกมงู

บางคนที่เซียนๆ ตัวงูยาวเต็มหน้าจอ อารณ์แบบ …หัววิ่งไล่หางเลยทีเดียว

Nokia 3310

พอเข้าม.ปลาย Nokia ได้ปล่อยโทรศัพท์มือถือที่มาพร้อมระบบปฏิบัติการ Symbian ก่อนจะฮิตระเบิดระเบ้อกันทั่วบ้านทั่วเมือง จนทั้ง Nokia และ Symbian กลายเป็นผู้ผลิต Hardware และ Software รายใหญ่ที่สุดในโลก และนับจุดเริ่มต้นของความผูกพันระหว่างผมกับ Nokia เมื่อยายที่อยู่ประเทศอังกฤษส่งโทรศัพท์ Nokia รุ่น 3210 มีสกรีน Vodaphone ตอนนั้นคือแบบ …ภูมิใจมาก โทรศัพท์มือถือเครื่องแรก นำเข้าจากต่างประเทศ แถมยังมีสกรีน Vodaphone ที่ตัวเครื่องอีกด้วย! ซึ่งตอนนั้น Vodaphone เขาเป็นสปอนเซอร์คาดหน้าอกสโมสรแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด

แรกๆ แม่ไม่ยอมให้เอาไปโรงเรียน กลัวหาย แต่ก็แอบๆเอาไปจนได้ วันแรกที่เอาไปโรงเรียน รีบเอาไปให้เพื่อนคนนึงที่ชื่อบอลช่วยดู เจ้าบอลเป็นคนนำแฟชั่นในเรื่องมือถือที่สุดของห้อง เวลามีมือถือออกรุ่นใหม่ เจ้าบอลมักจะมีมาอวดมาโชว์เพื่อนเสมอ จนเพื่อนๆหลายคนสงสัยว่าเจ้าบอลเป็นเอเย่นต์ค้ายาบ้า (สมัยก่อนยาบ้าระบาดหนักมาก หาซื้อได้ทุกหนทุกแห่ง ใครที่รวยเกินหน้าเกินตา เลยมักจะโดนตั้งข้อครหาว่า ค้ายาบ้า)

ผมเก็บมือถือใส่กระเป๋าอย่างมิดชิด (กลัวโดนขโมย เพราะเป็นรุ่นลิมิตเต็ด) นัดกับเจ้าบอลเพื่อดูมือถือหลังห้อง แม้ว่าบอลมันจะงงๆหน่อย ว่าทำไมต้องลับๆล่อๆขนาดนี้ แต่มันก็ยอมตามมาดู เพราะอยากรู้ว่าโทรศัพท์ในกระเป๋าผมมันลิมิตเต็ดขนาดไหน ถึงต้องแอบมาดูหลังห้อง

พอผมควักมือถือออกมาจากกระเป๋าให้เจ้าบอลดู….

“หืมมมม…….” เจ้าบอลลากเสียงยาว ก่อนจะพูดว่า “ไอ้ควาx….. นี่มันมือถือตกรุ่นแล้ว!?!?!? ลิมิตเต็ดอะไรตรงไหน?!”

หลังจากนั้นผมก็ไม่ค่อยเอามือถือออกมานอกกระเป๋าสักเท่าไหร่!

Nokia 3210

พอมีเบอร์ส่วนตัว ตอนนั้นใช้ DTAC ที่ชื่อว่า D-Prompt อัตราค่าบริการตอนนั้นนาทีละ 5 บาท เพื่อนๆก็เริ่มโทรมาหา แต่มันโทรมาแบบ 3 วิ-วาง เพราะเครือข่าย 1-2 Call จะไม่คิดเงินใน 3 วินาทีแรกที่โทรออก แรกๆผมก็งงเหมือนกัน กดวาง กดวางอยู่นั่นแหละ กว่าจะคุยกันรู้เรื่อง ประสาทแทบกิน หูนี่อุ่นเลยครับ

เรื่องราวหลังจากนี้จะเปลี่ยนผ่านจากยุคจอขาวดำเป็นจอสี และจาก 2G ไปเป็น 3G

Nokia ยังมีรุ่นเด็ดๆอีกหลายรุ่น ติดตามอ่านตอนที่ 2 นะครับ

ตลาดรถพลังงานไฟฟ้าเมืองไทยร้อนระอุ เมื่อ Great Wall Motors บุกไทย

ladpdhybnlxtpupnahfnaya_800_535

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันสินค้าและแบรนด์จากเมืองจีนเข้ามาตีตลาดในประเทศไทยและประเทศอื่นๆทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นข้าวของเครื่องใช้เล็กๆน้อยๆในบ้าน รวมไปถึงชิ้นใหญ่ อย่างเช่น รถยนต์

วันนี้เราจะมาพูดถึงการเข้ามาของแบรนด์รถยนต์จากประเทศจีนอย่าง Great Wall Motors ที่จะเข้ามาแย่งส่วนแบ่งทางการตลาดต่อจาก MG ที่เคยเข้ามาบุกตลาดรถเมืองไทยก่อนหน้านี้ 7 ปี

งานนี้ทำให้ค่ายผู้ผลิตรุ่นเก๋าจากแดนอาทิตย์อุทัยอย่าง โตโยต้า ฮอนด้า อีซูซุ มิตซูบิชิ มาสด้า และนิสสัน ต้องร้อนๆหนาวๆ เพราะมุมมองของผู้บริโภคที่มีต่อสินค้าแบรนด์จีนได้เปลี่ยนไปแล้ว จากเดิมย้อนไปไกลหน่อยสัก 20-30 ปีที่แล้ว คนจะมองว่าสินค้าจากจีนเป็นสินค้าคุณภาพแย่ที่มีราคาถูก แต่ปัจจุบันกลายเป็นสินค้าคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล

ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดๆเลยก็คือ ยอดขายโทรศัพท์สมาร์ท โฟนทั่วโลก 5 อันดับแรก เป็นแบรนด์จากประเทศจีนไปแล้ว 3 แบรนด์

และต่อจากนี้ ทางเกรท วอลล์ เองก็จะมายกระดับมุมมองของผู้บริโภคไทยต่อสินค้าจีน จากสินค้าคุณภาพดี ราคาสมเหตุสมผล ให้กลายเป็น สินค้าระดับพรีเมี่ยม ในราคาที่จับต้องได้ ด้วยการขนเอาเทคโนโลยีที่มี มายัดใส่ลงไปในยานยนต์ของพวกเขา


swarovski-blue1_desktop_24mar-vert

แว๊บแรกที่เห็นรถ Haval H6 ขับโฉบผ่านไป ความรู้สึกแรก คือ ดูดีมีสกุลมากๆ แม้ไม่ได้สวยว้าว แต่ดูแพง ดูพรีเมียม ด้านหน้ามีความเป็น Audi ด้านข้างดูคล้าย Range Rover ส่วนด้านหลังมีความเป็น Porsche + Volvo (ก็แน่ละ คนออกแบบเป็นวิศวกรที่ย้ายมาจาก Range Rover) สมแล้วกับตำแหน่งรถ SUV ยอดขายอันดับ 1 ต่อเนื่องถึง 7 ปีซ้อนในประเทศจีน1 และการเข้ามาบุกตลาดไทยในครั้งนี้ ไม่ได้มาเล่นๆ แต่มาพร้อมกับเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำรถยนต์ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยรถที่จะนำมาขายนั้น จะเน้นเป็นรถพลังงานไฟฟ้าเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็น HEV, PHEV, BEV

กลายเป็นว่า จีนจะมาโค่นจีนด้วยกันเองซะแล้ว เพราะ MG เองก็ยืนหนึ่งในด้านนี้อยู่ โดยยึดส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 88% ในปี 25632

ก็ต้องรอดูในระยะต่อๆไปว่าเกรท วอลล์จะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ การที่มีแบรนด์ในตลาดเพิ่มขึ้นมาอีก 1 แบรนด์ หมายความว่า ยอดขายของแบรนด์ต่างๆก็จะถูกแบ่งไปให้แบรนด์ใหม่ไม่มากก็น้อย เหมือนอย่างที่ตอน MG เข้ามาทำตลาดในไทยใหม่ๆเมื่อ 7 ปีที่แล้ว ช่วงแรกๆก็ค่อยๆเป็นค่อยๆไป แต่สุดท้ายก็ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในกลุ่ม Compact SUV แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Honda CR-V ในปี 2563 ส่วนกลุ่ม Subcompact SUV อย่าง MG ZS ก็คว้ายอดขายอันดับสอง เป็นรองเพียงโตโยต้าเท่านั้น

และในปีนี้ผ่านมาแล้วเกินกว่าครึ่งทาง ทุกค่ายต่างพากันทำโปรโมชั่นอย่างหนักเพื่อที่จะปิดยอดปี 2564 และดึงส่วนแบ่งมาครองให้ได้มากที่สุด ซึ่งการที่มีเกรท วอลล์เพิ่มเข้ามา ได้สร้างแรงกระเพื่อมให้ค่ายรถสัญชาติญี่ปุ่นไม่น้อยเลยทีเดียว

มาดูกันว่า เกรท วอลล์ได้สร้างปรากฏการณ์อะไรไว้บ้าง

GWM takes GM

  • มิถุนายน 2563 ปิดดีลเมกะโปรเจคท์ซื้อโรงงานจาก GM มูลค่าเท่าใดไม่เป็นที่เปิดเผย แต่คาดเดาว่าระดับพันล้านบาท!
  • กันยายน 2563 เมื่อ GM จ่ายค่าชดเชยให้กับพนักงานเรียบร้อย ก็ได้ส่งมอบโรงงานให้กับเกรท วอลล์ และทางเกรท วอลล์ก็ได้ดำเนินการรีโนเวทโรงงานใหม่ทั้งหมด ให้เป็น Smart Factory ที่นำเอาเทคโนโลยีสมัยใหม่มาผสมผสานและประยุกต์ใช้
  • มีนาคม 2564 เอา Haval H6 SUV ระบบไฮบริดมาเปิดตัวให้คนไทยได้เห็นก่อนใครในโลกที่งานมหกรรมยานยนต์ระด้บประเทศอย่าง Motor Expo ครั้งที่ 42 และได้รับความสนใจอย่างมากสำหรับคอรถ SUV

Smart Factory

  • มิถุนายน 2564 เริ่มผลิต Haval H6 คันแรกโดยคนไทย และปลายเดือนสร้างความฮือฮาอีกครั้งด้วยการประกาศราคาออกมาเชือดเฉือนคู่แข่งด้วยราคาไม่ถึง 1.3 ล้านบาท(รุ่นท็อป) ขณะที่เจ้าตลาดอย่าง Honda CR-V ราคาเริ่มต้นก็ปาเข้าไป 1.3 ล้านบาทแล้ว และรุ่นท็อปสุด ราคาโดดไปเกือบๆ 1.8 ล้านบาทเลยทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ เกรท วอลล์ยังอัดเทคโนโลยีและออฟชั่นต่างๆมาพร้อมตั้งแต่รุ่นเริ่มต้นยันรุ่นท็อป แตกต่างจากรถญี่ปุ่นที่มักจะกั๊กเอาบางออฟชั่นเอาไว้ให้เฉพาะรุ่นท๊อปๆเท่านั้น เชื่อว่าจากนี้ เราจะได้เห็นค่ายญี่ปุ่นเอาออฟชั่นและเทคโนโลยีที่เคยกั๊กไว้มาใส่รุ่นเริ่มต้นมากขึ้น เพื่อแข่งขันการเป็นเจ้าตลาด
  • กรกฏาคม 2564 เปิดขายเดือนแรกก็ขึ้นแท่นอันดับ 2 กลุ่มรถ Compact SUV (Haval H6)ด้วยยอดขาย 320 คัน ทิ้งห่างผู้เล่นหน้าเก่าอย่าง Subaru Forester, Mazda CX-5, Mazda CX-8, Mitsubishi Outlander หลักร้อยคัน (เป็นรองเพียง Honda CR-V เท่านั้น)
  • สิงหาคม 2564 ขึ้นแท่นอันดับ 1 กลุ่มรถ Compact SUV แซงหน้าแชมป์เก่าอย่าง Honda CR-V (เหตุผลส่วนหนิ่ง คือ Honda ไม่มีชิพเลยทำให้ส่งมอบรถให้กับลูกค้าได้น้อย) และหลังจากเปิดขายได้เพียงแค่ 2 เดือน ก็ทำยอดขายสะสมแซงหน้า Mazda CX-5, Mazda CX-8 และ Mitsubishi Outlander ที่ขายมาทั้งปี!

Orra Good Cat

ปลายเดือนตุลาคมนี้ เกรท วอลล์ยังเตรียมหมัดเด็ด ด้วยการนำรถรุ่นที่สองต่อจาก Haval H6 นั่นคือ Orra Good Cat ซึ่งรถรุ่นนี้จะเป็นรถพลังงานไฟฟ้า 100% โดยจะนำเข้ามาจากจีนทั้งคัน เคลมว่าขับได้ระยะทางกว่า 400 กม.ต่อการชาร์จ 1 ครัั้ง! ส่วนเรื่องราคานั้น ต้องรออีกนิดว่าเกรท วอลล์จะดีดออกมาที่เท่าไหร่

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ เราอาจจะเห็นรถค่ายญี่ปุ่นปรับราคาสู้ หรือไม่ก็ขายราคาเดิม เพิ่มเติมออฟชั่นให้เยอะขึ้น มากขึ้น และอีกใน 2 ปีข้างหน้า เกรท วอลล์ยังมีรถอีก 7 รุ่นที่จะนำมาเปิดตัว รับรองว่าตลาดยานยนต์ไทยทุก Segment ต้องร้อนระอุอย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม ผู้บริโภคอย่างเราก็ได้อานิสงค์ไปเต็มๆ

1. ที่มา gwm-global.com

2. ที่มา brandinside

***เครดิตภาพ Great Wall Motors***

ทำไมเกาหลีเหนือถึงปลอดโควิด?

ผมเป็นหนึ่งคนที่ชอบอ่านเรื่องราว บทความของประเทศเกาหลีเหนือ โดยเฉพาะเรื่องราวเกี่ยวกับวิถีชีวิตของผู้คนที่นั่น เพราะแทบไม่ได้เห็นภาพหรือข่าวจากประเทศนี้มากนัก

สำหรับผม อะไรที่มีลับลมคมในมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งน่าค้นหาติดตามมากขึ้นเท่านั้น

จุดเริ่มต้นมาจากสมาชิกท่านหนึ่งในเว็บ Pantip ไปเที่ยวเกาหลีเหนือมา แล้วเอาภาพมาโพสต์ลงกระทู้ในปี 2013

กระทู้นั้นเป็นกระทู้ที่เปิดโลกทัศน์ของผมอย่างมาก

จากที่ไม่เคยเห็นอะไรที่เป็นเกาหลีเหนือเลย ก็ได้เห็นเป็นครั้งแรก คืออารมณ์แบบ…คอนทราสต์มากๆ เช่น ถนนกว้างมาก แต่แทบไม่มีรถอยู่บนถนนเลย และไม่มีเส้นแบ่งเลนถนนด้วย! เหมือนสร้างไว้โชว์ประเทศอื่น แต่คนในประเทศไม่ได้ใช้จริง

ถนนในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงเกาหลีเหนือ

ถนนในกรุงเปียงยาง เมืองหลวงเกาหลีเหนือปี 2013 [ที่มาภาพ : คุณ Suez]

ตึก อาคารดูภายนอกใหญ่โตหรูหรา แต่ภายในเก่ามาก ทีวีภายในโรงแรมที่ดีที่สุดอันดับต้นๆในกรุงเปียงยาง ยังเป็นแบบจอแก้วนูนๆอยู่เลย (อัพเดทปี 2019 มีคนไทยไปเที่ยวห้องสมุดเกาหลีเหนือและถ่ายรูปมาก็ยังใช้เป็นจอแก้ว)

โปรแกรมเที่ยวก็ต้องเที่ยวตามที่รัฐบาลเขาเป็นคนกำหนดให้ โดยมีไกด์ซึ่งก็เป็นคนของรัฐบาลคอยตามประกบไม่ให้ออกนอกเส้นทาง พูดง่ายๆก็คือ เขาจะให้เห็นเฉพาะสิ่งที่อยากให้เห็นเท่านั้น

qs5s17skor6xRaGk70f-o

บรรยากาศภายในห้องสมุดปี 2019 [ที่มาภาพ : Thisismylifestyle]

หลังจากกระทู้นั้น ผมก็ได้หาอ่านหนังสือเพิ่มเติมที่เกี่ยวกับเกาหลีเหนือ ซึ่งเล่มที่ทำให้รู้เกี่ยวกับเกาหลีเหนือได้ดีที่สุดก็คือ Nothing to Envy ของ Barbara Demick นักข่าวชาวอเมริกาที่ประจำอยู่เกาหลีใต้ ใช้เวลานานในการรวบรวมบทสัมภาษณ์จากปากผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือหลายต่อหลายคน จนเธอได้รับรางวัลมากมาย

เกริ่นเรื่องราวของตัวเองและเกาหลีเหนือมาซะเยอะ ทีนี้มาเข้าเรื่องราวดีกว่า

ปกติผมจะติดตามข่าวโควิดในต่างประเทศอยู่เป็นประจำ แต่อยู่ๆวันนึงผมก็เอะใจเรื่องโควิดกับเกาหลีเหนือ คือ เท่าที่จำได้ ไม่เคยได้ยินชื่อเกาหลีเหนือในรายงายโควิดเลย ด้วยความสนใจ + ความอยากรุ้ก็เลยเข้าไปสืบค้น

แม่เจ้า!!!

เกาหลีเหนืออยู่มาได้ไงตั้งเกือบ 2 ปีโดยไม่มีโควิด???? ทั้งๆที่เพื่อนบ้านรายล้อมไปด้วยโควิด!?! จีนเอย รัสเซียเอย หรือเกาหลีใต้เอย

cats

สองคู่รักชาวเกาหลีเหนือกำลังเดินอยู่บนถนนในกรุงเปียงยาง [ที่มาภาพ : Los Angeles Times}

ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีรายงานจากหลายๆแหล่งว่าเกาหลีเหนือปิดข่าว ที่จริงแล้วมีผู้ติดเชื้อหลายต่อหลายเคส เช่น มีกลุ่มทหารเสียชีวิตอย่างน่าสงสัย 180 นายจากภาวะไข้ขึ้นสูงในช่วงต้นปี 2020 หรือผลการตรวจผู้ 2 ต้องสงสัย ที่ผลการตรวจออกมาว่า “สรุปไม่ได้” รวมถึงประโยคที่โฆษกกระทรวงสาธารณสุขเกาหลีเหนือออกมากล่าวว่า “มันเป็นโรคแพร่ระบาดที่ยากจะหลีกเลี่ยง”1

แต่ถ้านับตามข้อมูลอย่างเป็นทางการอ้างจากองค์การอนามัยโลกหรือ WHO ณ ปัจจุบัน ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศเกาหลีเหนือยังเป็นศูนย์

ถ้านี่เป็นเรื่องจริง มาดูกันว่า เกาหลีเหนือทำอย่างไร? ปัจจัยอะไรที่ทำให้เกาหลีเหนือยืนหยัดมาได้โดยไม่เสียเอกราชให้กับโควิด?

  • คิมมิวนิต์พิชิตโควิด

การเป็นประเทศคอมมิวนิสต์ทำให้สามารถควบคุมภาพรวมของประเทศได้อย่างเคร่งครัด

คิม จอง อึน ห้ามแม้กระทั่งไม่ให้บุคลากรทางการแพทย์พูดคุยเรื่องราวเกี่ยวกับโควิด! ซึ่งอาจทำให้ภาพลักษณ์ท่านนายพลคิม จอง อึน เสื่อมเสีย

หรือการใช้อำนาจออกกฏ / ข้อห้ามต่างๆ บังคับให้ประชาชนต้องปฏิบัติตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าเป็นกุญแจสำคัญที่ทำให้ไม่เกิดการแพร่ระบาดในเกาหลีเหนือ

  • ปิดประเทศ

3 เดือนหลังจากพบผู้ป่วยติดเชื้อยืนยันในอู่ฮั่น นายพลคิม จอง อึน สั่งให้เพิ่มความเข้มข้นในมาตราการป้องกันไม่ให้มีการแพร่ระบาดภายในประเทศ เพื่อปกป้องชื่อเสียงท่านผู้นำสูงสุด!

ทุกเที่ยวบินทั้งขาเข้าและขาออกถูกระงับ หยุดให้บริการทางรถไฟ ตัดขาดการเชื่อมต่อทั้งทางบกและทางทะเล ปิดชายแดน ปิดโรงเรียนทั้งประเทศ ปิดๆๆๆ ฯลฯ ปิดแบบจริงๆจังๆ ปิดแบบไม่มีกำหนด ซึ่งการประกาศปิดประเทศนี้เอง ทำให้การค้าขายกับประเทศจีนลดลงถึง 80% ในปี 20202 และนำไปสู่ภาวะขาดแคลนอาหาร

  • กักตัวมหาโหด

เดือนมีนาคม 2020 เริ่มมีการผ่อนปรนให้พลเมืองชาวเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศสามารถเดินทางกลับมาบ้านเกิดได้*** โดยต้องกักตัว 40 วัน และบวกไปอีก 30 วัน ภายใต้เงื่อนไข “เฝ้าสังเกตุการณ์ทางการแพทย์” และไม่ได้กักเฉพาะคนเท่านั้น สินค้าที่นำเข้ามาจากต่างประเทศก็ต้องกักตัวด้วย!

ส่วนบรรดานักเรียนนักศึกษาที่เข้ามาเรียนมหาวิทยาลัยในกรุงเปียงยางก็ถูกจำกัดให้อยู่แต่ภายในหอพักเท่านั้น

***ชาวเกาหลีเหนือที่อาศัยอยู่ในต่างประเทศส่วนมากล้วนเป็นคนที่ถูกส่งไปโดยรัฐบาล เช่น พ่อครัว แม่ครัว เด็กเสิร์ฟ ที่ต้องไปทำงานร้านอาหารภายใต้กิจการของรัฐบาลเกาหลีเหนือในสาขาต่างประเทศ หากใครคิดจะหนีหรือเป็นโรบินฮู๊ด ครอบครัวของพวกเขาที่เกาหลีเหนือก็จะลำบากแทน***


  • ไม่เข้าร่วมกีฬาโอลิมปิค

เกาหลีเหนือเป็นประเทศแรกที่ประกาศไม่ส่งนักกีฬาไปร่วมมหกรรมกีฬาของคนทั้งโลกอย่าง โอลิมปิคที่ประเทศญี่ปุ่น โดยยืนยันจุดยืนชัดเจน และแจ้งล่วงหน้าถึง 3 เดือน3

แม้ว่าผู้เชี่ยวชาญบางคนจะวิเคราะห์ว่า นี่เป็นการส่งข้อความกลายๆให้กับอเมริกาว่า เกาหลีเหนือต้องการเจรจากับประธานาธิบดี โจ ไบเดน โดยตรง มากวว่าที่จะใช้มหกรรมกีฬามาเป็นเครื่องมือในการเจรจา (โอลิมปิดปี 2018 อเมริกาและเกาหลีใต้ใช้โอกาสนี้ในการพูดคุยเจรจากับเกาหลีเหนือ)

ซึ่งนั่นก็มีส่วนทำให้พวกเขาไม่ได้รับเชือจากประเทศอื่นๆ ที่อาจมีนักกีฬาติดเชื้อเข้าแข่งขัน

ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกาหลีเหนือเป็นดินแดนที่ปราศจากโควิด โดยคิม จอง อึนเองก็ประกาศให้คนทั้งโลกได้เห็นในเดือนกันยายน ปี 2020 เป็นภาพจัดงานประชุมผู้แทนโดยไม่มีการสวมใส่หน้ากาก(ภาพจากหนังสือพิมพ์ Rodong Sinmun ประเทศเกาหลีเหนือ)

และนอกเหนือจากนี้ ยังมีการปล่อยจรวดมิสไซส์ถึง 5 ลูก เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองและสร้างความมั่นใจให้ประชาชนชาวเกาหลีเหนือ ว่าพวกเขาจะไม่ถูกรุกราน ตราบใดที่พวกเขายังมีจรวดมิสไซส์!!!!! (ถึงแม้จะโดนเกาหลีใต้ประนามอย่างหนักว่าไม่เหมาะสม และไม่เกี่ยวข้องกันกับโควิดเลย)

1. ที่มา Wikipedia

2. ที่มา Eastasiaforum

3. ที่มา AP

2 ปีผ่านไป โควิดสร้างอะไรไว้บ้าง?

The Walking Street Pattaya 2021

ถนน Walking Street พัทยาเดือนกันยายน 2021 ร้านค้า ผับ บาร์ราวๆ 80-90% ปิด

ตั้งแต่โควิดระบาดขึ้นบนโลกครั้งแรกปลายปี 2019 มันได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของมวลมนุษย์ทั้งโลก

ตอนที่เห็นข่าวการระบาดครั้งแรกในทีวีที่เมืองอู่ฮั่น ตอนนั้นยอมรับเลย คิดว่าคงไกลตัว

ที่ไหนได้… ไทยแลนด์เป็นประเทศแรกเลยที่พบการระบาดครั้งแรกนอกประเทศจีน!

หลังจากนั้นก็ตามด้วยญี่ปุ่น พอเข้าสหรัฐฯ กับยูโรปเท่านั้นแหละ…. ลุกลามรัวๆเป็นไฟเจอน้ำมันเลย!

แต่ละวัน มีรายชื่อประเทศใหม่ๆเข้ามาร่วมขบวนพาเหรดผู้ติดเชื้อโควิด โดยมีผู้นำขบวน คือ อิตาลี, ฝรั่งเศส, เยอรมัน, อังกฤษ, สเปน, (ก่อนที่จะโดนอเมริกา, อินเดีย, บราซิล ยึดหัวขบวนในภายหลัง)

ตอนนี้จำแทบไม่ไหวแล้ว ว่าประเทศไหนบ้างที่เข้ามาร่วมขบวน เยอะเหลือเกิน เกือบจะทั้งโลกแล้ว

จากวันที่มีข่าวการติดเชื้อครั้งแรก มาจนถึงวันนี้ ก็เกือบๆจะ 2 ปีแล้ว

ตลอดช่วงเวลาดังกล่าว โควิดได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบชีวิตของมวลมนุษยชาติ โดยไม่รู้ว่าจะกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกหรือเปล่า?

มาดูกันว่าโควิดเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตยังไงและฝากผลงานอะไรไว้บ้าง

1. ฟุตบอลยูโร 2020 แต่ดันมาเตะปี 2021

เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ฟุตบอลยูโรก่อตั้งมา (63 ปี) ที่เตะไม่ตรงกับปีที่กำหนด!1

ถ้าสมมติโนบิตะแอบใช้ไทม์แมชชีนเดินทางจากอดีตข้ามมาอนาคตปี 2021 โนบิตะคงจะงง หรือไม่ก็คิดว่าไทม์แมชชีนของโดราเอมอนเสียแน่ๆ (เดินทางมาปี 2021 แต่ทำไมยังเตะฟุตบอลยูโร 2020 อยู่?)

นอกจากนี้ยังปร้บกติกาการแข่งขันเพื่อให้นักเตะได้มีเวลาพักกันมากขึ้น จากเดิมที่เปลี่ยนตัวนักเตะสำรองได้ 3 คนต่อ 1 นัด –> อัดฉีดเพิ่มเป็น 5 คนต่อ 1 นัด (แต่ไม่เกิน 3 ครั้ง) และหากเข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ก็จะสามารถเปลี่ยนนักเตะได้เพิ่มอีก 1 คน

รวมๆแล้ว สามารถเปลี่ยนนักเตะสำรองได้สูงสุด 6 คน หรือครึ่งทีมเลยทีเดียว! ซึ่งก็มีประเด็น เพราะทีมเล็กๆบอกว่าพวกเขาเสียเปรียบทีมใหญ่ๆที่มีนักเตะบนม้านั่งสำรองให้เลือกใช้เยอะๆ

2. เกิดกระแสการแจมดนตรีแบบบ้านใครบ้านมัน

จุดเริ่มต้นที่ประเทศอิตาลี เพราะเป็นประเทศแรกๆในยุโรปที่ถูกโควิดจัดหนักจนระบบสาธารณูปโภคแทบล่ม! พอถึงจุดที่ไปต่อไม่ไหวแล้ว นายกรัฐมนตรีจึงประกาศล็อคดาวน์ ให้ทุกคนอยู่แต่ภายในบ้าน

บรรดาพวกศิลปิน, นักดนตรีเกิดอาการ “คันไม้คันมือ” เลยออกมาร้องเพลง เล่นดนตรีหน้าระเบียงห้องของตัวเอง พอเพื่อนบ้านได้ยิน ก็ขนเอากีตาร์ เอาแซกโซโฟนออกมาเล่นแจมกันแบบบ้านใครบ้านมัน แล้วมีคนถ่ายวิดีโออัพโหลดลงโซเชี่ยล กลายเป็นเทรนด์ฮิตไปทั่วยุโรปและทั่วโลกในเวลาต่อมา

ส่วนในประเทศไทย แม้ไม่มีการร้องเพลงหน้าระเบียง แต่ก็มีการเล่นดนตรีแล้วอัพโหลดลงเฟซบุ๊คเพื่อให้คนอื่นเอาดนตรีที่ตัวเองเล่นมาใส่ จนครบทุกชิ้นกลายเป็นเพลง Backing track ขึ้นมา 1 เพลง รวมถึงการแสดงคอนเสิร์ตสดแบบไม่สด?!?!?!

มันก็คือการที่ศิลปินเล่นดนตรีสดๆในห้องสตูดิโอ หรือบนเวที แล้วไลฟ์สตรีมผ่านช่องทางต่างๆให้เราได้ชมกันสดๆ เพียงแต่ศิลปินจะไม่เห็นผู้ชม ไม่ได้ยินเสียงโต้ตอบจากผู้ชมเท่านั้นเอง

เท่าที่ทราบจากศิลปิน… มันไม่สนุกเหมือนการเล่นคอนเสิร์ตที่มีคนดูจริงๆและโต้ตอบกันได้

3. ทำงานอยู่บ้าน / เรียนออนไลน์

จริงๆแล้วการทำงานที่บ้าน หรือ Work from home นั้นมีมาก่อนที่โควิดจะมาแล้ว แต่เป็นกลุ่มเล็กๆ

ในปี 2018 มีพนักงานเพียง 7% เท่านั้น ที่สามารถเลือกทำงานอยู่ที่บ้านได้2 แต่ในปัจจุบันเพิ่มขึ้นเป็น 26.7% หรือประมาณ 1 ใน 4

บางบริษัทในอเมริกาถึงกับประกาศยกเลิกการเข้ามาทำงานในออฟฟิศ ให้ทำงานอยู่ที่บ้านแบบถาวรเลยทีเดียว

ส่วนเด็กๆก็เรียนออนไลน์ ในช่วงแรกๆนี่ ดราม่าหนักมาก เพราะความพร้อมของแต่ละครอบครัวไม่เหมือนกัน ครูผู้สอนเองก็ต้องปรับตัวเช่นกัน จากที่เคยสอนอยู่หน้าห้อง ก็ต้องมาทำเนื้อหาการเรียนการสอนเป็นไฟล์วิดีโอและสอนอยู่หน้าจอแทน

โรงเรียนบางแห่งเช็คชื่อการเข้าเรียนด้วย Video Call บางแห่งก็โยนไฟล์มาให้เรียนเอง แล้วเช็คชื่อการเข้าเรียนด้วยการส่งการบ้าน ขอให้มีการบ้านส่งก็ถือว่าเข้าเรียนแล้ว จนมีประโยคเด็ดที่แชร์ในโซเชียลว่า “แม่ๆ พรุ่งนี้หนูจะสอบแล้วนะ แม่อ่านหนังสือแล้วหรือยัง?!”

4. คนออกจากบ้านกันน้อยลง

ด้วยความที่ต้องกักตัวอยู่แต่บ้านเป็นระยะเวลานานๆ ทำให้คนหันมาช็อปปิ้งออนไลน์กันมากขึ้น ทุกวันนี้คนไปเที่ยวเล่นเดินห้างแบบแต่ก่อน ลดลงเยอะมากกกกกก

ผมไปเดินห้างครั้งล่าสุดเมื่อเดือนสิงหาคม 2564 อารมณ์เหมือนแบบเดินห้างช่วงเวลาใกล้ปิดอะไรประมาณนั้น ลานกิจกรรมกลางห้างที่เคยเป็นพื้นที่คึกคักสำหรับจัดอีเว๊นท์หรือจัดบู๊ทของลดราคา ตอนนี้ว่างเปล่า ดูห้างโล่งไปเลย

ร้านค้าย่อยๆเปิดบ้าง ปิดบ้าง ร้านอาหารที่มองเข้าข้างในแล้วไม่เจอใครเลย นอกจากพนักงานกับไรเดอร์ที่มารอรับอาหารไปส่งตามออร์เดอร์

เคาน์เตอร์ขายตั๋วหน้าโรงหนังที่เคยมีกลุ่มคนยืนต่อคิวรอซื้อตั๋ว บ้างก็ยืนดูโปรแกรมหนังบนจอแสดงผลขนาดใหญ่ เสียงหนังตัวอย่างที่กำลังจะเข้าฉายโปรแกรมหน้าหลายต่อหลายเรื่องแข่งกันดึงดูดความสนใจบรรดาคอหนังที่มารอชมภาพยนตร์จากจอขนาดยักษ์ พร้อมทั้งระบบเสียงกระหึ่มจัดเต็มรอบทิศทางราวกับอยู่ในเหตุการณ์จริง แต่บัดนี้ ปิดไฟมืดทั้งหมด ไม่มีคนดู ไม่มีโปรแกรมฉาย ไม่มีพนักงานขายตั๋ว มีแต่ผมนี่แหละ…ที่เดินเข้าไปในนั้นทำไมก็ไม่รู้!

Sealed Cinema

โรงหนังที่ไร้โปรแกรมฉาย


เรียนออนไลน์

เด็กๆกับการเรียนออนไลน์


Empty Restuarant

ร้านอาหารที่ว่างเปล่า

จริงๆแล้วคนอื่นอาจพบเจอมากกว่าที่ผมกล่าวมา หรืออาจจะเจอเรื่องเดียวกัน แต่เหตุการณ์แตกต่างออกไป ก็สามารถคอมเม็นต์บอกเล่ากันได้นะครับ

สุดท้ายแล้ว ผมคิดว่าโควิดมันคงจะอยู่กับเราแบบนี้ตลอดไป เหมือนไข้หวัดใหญ่

ยังไงก็รักษาสุขภาพกันด้วยนะครับ ^____^

Reference

1. Wikipedia

2. Forbes