สะพายเป้หลังนั่งรถไปหลวงพระบาง #4

06.00 ตื่นมาเตรียมตัวทำบุญตักบาตรข้าวเหนียว แต่ก่อนอื่นขอไปเดินทอดน่องในตลาดดูก่อน ชอบตลาดหลวงพระบางมากๆ มีของกิน ของป่า ทั้งผักทั้งสัตว์สารพัดอย่าง เรียกได้ว่าตลาดทุ่งเกวียน ลำปางบ้านเฮายังอาย เห็นแล้วนึกถึงพ่อผู้ชื่นชอบของป่าเป็นชีวิตจิดใจ เจ้าชายเคยพาแกไปเที่ยวทะเลและกินอาหารทะเลแต่แกบอกว่าแกไม่คุ้นเคย เพราะว่าแกเกิดและอยู่มากับป่า …ออกนอกเรื่องอีกแล้ว ไปเดินชมตลาดเช้าหลวงพระบางกันดีกว่า

ตลาดหลวงพระบาง

เรื่องการวางขายก็วางกันแบบลูกทุ่ง คือวางกับพื้นนี่แหละ จนกลายเป็นเสน่ห์ของที่นี่ไปเสียแล้ว

ตลาดเช้าหลวงพระบาง

ปลาตัวใหญ่เบิ้ม

ปลาบึก

มุมของป่า ในกรงซ้ายมือริมภาพ ไม่รู้มีตัวอะไรอยู่ในนั้น

Laungprabang Market

เครื่องแกง

Laos Market

ปลาในเข่งนั่นของอิมพอร์ตเลยเชียวนะ

Luangprabang Market

มุมนี้เหมือนอยู่แถวลาตินอเมริกา (คิดไปเอง)

Asia Market

ชมภาพ B&W กันอีกสักชุด หน่อไม้ครับหน่อไม้

Laungphabang Market

เฝอเปิดขายกันแต่เช้าเลย

Luangphabang Market

เปลี่ยนเป็นซีเปียบ้าง

Asia Ingredient

ทิ้งท้ายด้วยภาพสี

Laos Ingredient

ทำบุญตักบาตรข้าวเหนียว

ประมาณ 7 โมง ชาวบ้านเริ่มออกมาตั้งแถวรอใส่บาตร ถ้าอยากใส่บาตรแบบไม่โดนชาร์จหูดับตับไหม้แนะนำให้รอใส่ที่ช่วงท้ายขบวน ของใส่บาตรไม่ต้องไปหาที่ไหนไกล จะมีแม่ค้ารอขายให้เราอยู่แล้ว(จะเรียกว่าประเคนก็ว่าได้) ชุดละ 100 บ. ซึ่งแม่ค้าก็ไปรับมาจากวัดอีกที  ถ้าเราอยู่หัวขบวน พระจะเดินมาเป็นสาย แม่ค้าก็จะเติมชุดตักบาตรให้เราเรื่อยๆ สุดท้ายพอมาคิดเงินโดนไป 500-600 หลายคนโดนมาแล้ว

ตักบาตรข้าวเหนียวหลวงพระบาง

หาบของแม้ค้าที่มารอรับซื้อของต่อจากวัด

Asia Basket

ใส่บาตรเสร็จยังมีเวลาเหลืออีกเยอะให้เดินชมสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวัดวาอารามหรือพิพิธภัณฑ์ซึ่งส่วนมากจะเสียค่าเข้าชม เงินในกระเป๋าพวกเราเหลือไม่มากจึงเลือกที่จะเดินมองแต่เพียงภายนอก(ใช้วิชาหมาแหงนเอา)

หลวงพระบาง

เดินนานชักเหนื่อย ต้องแวะเติมพลัง ที่วังเวียงเรียกบักแก็ต แต่ที่หลวงพระบางเรียกแป้งจี่

แป้งจี่

เตรียมตัวลุยน้ำตก

จากนั้นกลับห้องมาเตรียมเสื้อผ้าอาภรณ์เพื่อไปน้ำตกตาดกวางสีด้วยการหาเหมารถจัมโบ้ อ้ายคนขับเปิดราคามาซะเราขี้หักใน 1,200 บ. แป๊บเดียวลดลงมาเหลือ 800 บ. แต่เราก็ยังไม่ไหวอีก เค้าเลยถามว่า เราให้ได้คนละเท่าไหร่ เราตอบว่า 450 บ. เค้าตีหน้าเครียดบอกว่าไม่ได้ ไม่คุ้มค่าน้ำมัน คิดอยู่นาน ก่อนขอที่ราคา 600 บ. แต่เรายังยืนยันที่ 450 บ.เหมือนเดิม สุดท้ายก็ตกลงกันที่ราคานี้ โดยมีเงื่อนไขว่า ต้องหาคนมาแชร์เพิ่มในลักษณะ Join Group ให้ได้ครบ 800 บ. จึงจะออกเดินทาง… โอเคเลย ไม่มีปัญหา ว่าแล้วก็โดดขึ้นรถกันเลย ได้ราคาตามที่ต้องการแล้ว จากนั้นคนขับก็พาเราไปจอดย่านนักท่องเที่ยวเพื่อหาคนมาหารเฉลี่ย เพียงแค่ไม่นานเราก็ได้เพื่อนร่วมทริป เป็นแก๊งค์ 3 สาวชาวนอร์เวย์ดินแดนพระอาทิตย์เที่ยงคืน แต่ละคนหน้าตาแช่มช้อยอายุราวๆ 20 นิดๆ พอได้ค่ารถครบตามที่ตกลงกันไว้ ก็ได้เวลาออกเดินทาง เราขอให้คนขับรถพาไปถ่ายรูปป้ายมรดกโลกที่องค์กรยูเนสโก้ได้ประเกาศแต่งตั้งให้กับเมืองหลวงพระบาง แล้วเราก็หันมาบอกกับเพืี่อนร่วมทริปว่า เราจะไปแวะถ่ายรูปป้ายยูเนสโก้กันก่อนแล้วค่อยไปน้ำตก “Interseting” สาวแหม่มพูดและทำท่าทางสนใจ รถจัมโบ้สามล้อวิ่งพาเราออกนอกเมืองได้สักพักก็จอดนิ่งหยุดอยู่กับที่ เราเลยพากันลงรถและมองหาป้ายที่ว่านั่น แต่ไม่พบ…เจอแต่ป้ายดิสโก้ สรุปคืออ้ายคนขับพาเรามาถ่ายป้ายดิสโก้!!!! สามแหม่มพากันฮายกใหญ่ “Unesco not Disco Hahahahah”

พอปล่อยไก่เสร็จก็เริ่มเดินทางสู่น้ำตกตาดกวางสี ใช้เวลาประมาณ 30 นาทีก็มาถึงหน้าทางเข้าอุทยาน เมื่อตกลงนัดแนะเวลากันเรียบร้อยก็พากันแยกย้ายเดินเข้าน้ำตก พวกวัยรุ่นลาวต่างก็พากันเข้ามาเที่ยวเล่นน้ำตกจำนวนนึง ภายในบริเวณน้ำตกมีสวนสัตว์เล็กๆเลี้ยงหมีแพนด้า สามารถเข้าชมได้โดยไม่เสียค่าเข้าชมเพิ่มเติม เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่เพราะเคยดูที่เชียงใหม่มาแล้ว

หมีแพนด้าลาว

สำรวจตาดกวางสี

เดินเข้าไปไม่ไกลก็จะพบลานน้ำตก(ชั้นแรก) เป็นน้ำสีเขียว เย็นฉ่ำ

น้ำตกตาดกวางสี

แต่เจ้าชายฯยังไม่ลงเล่น ขอขึ้นไปสำรวจชั้นบนสุดก่อน ถือเป็นเส้นทางเดินเขาเล็กๆเพราะค่อนข้างชันพอตัว มีสองเส้นทางให้เลือกคือซ้ายและขวา ไม่มีป้ายบ่งชี้ใดๆว่าเส้นไหนใกล้เส้นไหนไกล ขอเลือกทางขวาก่อนละกัน

เนื่องจากเป็นฤดูฝน ผู้คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยออกมาเที่ยวกัน ทางอุทยานจึงปล่อยทิ้ง ไม่ได้ดูแลรักษา ปล่อยให้คนกลุ่มน้อยที่อุตริชอบเที่ยวหน้าฝนแบกรับชะตากรรมของพวกเขาเอง และทางก็เป็นอย่างที่เห็น ไถลลื่นนับครั้งไม่ถ้วน เจ็บตัวและเปรอะเปื้อนนั้นไม่เท่าไหร่ แต่ถ้ากล้องตัวโปรดพังละเป็นอันจบเห่ ฝรั่งบางคนถอดใจหันหลังเดินกลับ

Luangprabang waterfall

หลังจากชั้นที่ 4 แล้วก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอีกเลย เดินอย่างเดียว กินเวลาไปเกือบๆชม.

หลวงพระบางหน้าฝน

แต่พอมาถึงชั้นสุดท้ายที่เป็นจุดชมวิว… โอ…มาย… ยิ่งใหญ่อลังค์การ งดงามเหลือเชื่อ สายน้ำกระโจนจากหน้าผาลงสู่เบื้องล่างสูงหลายสิบเมตร ละอองน้ำกระเซ็นเป็นฟองเล็กๆกระจายวงกว้างรัศมีแผ่ไกล สะพานที่เชื่อมทางเดินระหว่างสองฝั่งซ้าย-ขวาถูกกระแสน้ำพัดพังไม่เหลือชึ้นดี นั่นหมายความว่าต้องเดินกลับทางเดิม ตายแน่เลยกล้องเรา กระเป๋ากล้องก็ไม่ได้แบกขึ้นมาด้วย มีแต่กล้องเปลือยๆ ตัดสินใจถลกเสื้อขึ้นมาแล้วจับกล้องยัดใส่ใต้เสื้อ เดินฝ่าละอองน้ำไปจนถึงจุดที่ต้องการถ่ายภาพ แล้วควักกล้องออกมาถ่าย 1 shot ได้ shot เดียวก็รีบมุดกล้องเข้าใต้เสื้อแล้วเดินเลี่ยงละอองน้ำ วันนี้กล้องผ่านความสมบุกสมบันมาเยอะ ทั้งกระแทกทั้งละอองน้ำ นี่ถ้าใช้กล้อง Pentax จะไม่กลัวสักนิดเลย

น้ำตกตาดกวางสีชั้นบนสุด

Hidden Waterfall

ด้วยสายตาอันแสนซุกซน เหลือบมองเห็นทางเดินเล็กๆขึ้นสูยอด เฮ้ย! นึกว่านี่บนสุดแล้ว…ยังมีบนกว่านี้อีกหรอ ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก้ำกึ่งอยู่นาน จะขึ้นไปดีไหมหนอ นี่ก็ใกล้จะได้เวลาที่ต้องกลับไปขึ้นรถ เอาวะ! มาทั้งทีต้องมาให้สุด ว่าแล้วก็วิ่งตามทางที่ไม่รู้ว่าจะไปสุดที่ไหน? เดินไปได้ประมาณ 5 นาทีชักอยากหันหลังกลับละ ปลายทางคงไม่มีอะไร น่าจะเป็นเส้นทางที่ชาวบ้านใช้เดินหาของป่า หรือไม่ก็เป็นเส้นทางที่เชื่อมไปสู่ไร่นาของชาวสวน แต่ไหนๆก็มาแล้ว เดินไปดูให้มันสุดๆเลยละกัน จะได้รู้กันไป สุดท้ายจึงได้ไปเจอน้ำตกอีกแห่งหนึ่ง เป็นน้ำตกเล็กๆ แต่คิดว่าหลายๆคนที่เคยมาที่นี่อาจจะยังไม่เคยเห็น

Unseen waterfall Luangprabang

ขากลับรีบทำเวลาโดยด่วนเพื่อมาเล่นน้ำตก สายน้ำเย็นชื่นใจจนแทบหนาวสั่น ถึงแม้ไม่ได้สัมผัสบลูลากูนที่วังเวียง แต่ก็พอใจแล้วที่ได้มาสัมผัสสายน้ำที่นี่

Blue Lagoon

เมื่อถึงเวลานัดหมายก็เดินกลับไปที่รถ พบว่า 3 สาวนั่งรออยู่ก่อนแล้ว ตรงเวลาดีจริงๆ

ชมวิวมุมสูงหลวงพระบาง

เมื่อกลับมาถึงหลวงพระบางก็ขึ้นภูสีกันต่อ เสียค่าขึ้นประมาณ 40 บ. ทางขึ้นเทปูนทำเป็นขึ้นบันไดอย่างดี เดินสบายๆ ไม่ชัน เหมาะสำหรับผู้สูงวัยมาเดินออกกำลังกาย สำหรับเด็กวัยรุ่นนี่วิ่งฉิวเลย ที่ยอดภูสีเราสามารถมองมุมโอเวอร์วิวเมืองหลวงพระบางได้ เมืองที่ถูกโอบล้อมด้วยสายน้ำน้อย-ใหญ่ ทางทิศตะวันออกมีสนามบินเล็กๆ บ้านเมืองดูเจริญกว่าที่วังเวียง มีต้นไม้สีเขียวอยู่ทั่วไป โดยรวมดูร่มรื่นย์ดี

จุดชมวิวภูสี

ส่วนทางทิศตะวันตก บ้านเมืองดูหนาแน่นมากกว่า แต่ก็ยังมีต้นไม้สีเขียวให้เห็น

วิวเมืองหลวงพระบาง

นักท่องเที่ยวหลายคนขึ้นมารอชมพระอาทิตย์ตกที่นี่

View Point Laungprabang

นาฺฬิกาของคนเราเดินไม่เท่ากันหรือ?

ที่เจ้าชายฯเตะตามากที่สุดคือสาวญี่ปุ่นอายุประมาณ 18-20 ปี นั่งอ่านหนังสือเล่มเล็กๆอาบแสงตะวันอยู่เพียงลำพัง ดูท่าทางเธอช่างมีความสุขยิ่ง และดูเหมือนว่าเวลาของเธอนั้นช่างเดินช้าเหลือเกิน ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอนั่งอยู่ที่นี่มานานแค่ไหน แต่อิจฉาที่เวลาของเธอเดินช้ามากๆๆๆๆๆๆๆ ผิดกับตัวเราที่ต้องรีบลงจากยอดภูสีเพื่ออาบน้ำเตรียมตัวเดินทางกลับเวียงจันทน์ หลายคนมีความสุขกับการไล่ล่าตามหาตะวัน และสาวญี่ปุ่นผู้นี้คงเป็นหนึ่งในนั้น

เจ้าชายฯบอกลายอดภูสีแม้ว่าพระอาทิตย์จะยังไม่ลับขอบฟ้า แม้ไม่ได้ดูพระอาทิตย์ตกที่หลวงพระบาง แต่ก็พอใจแล้วที่ครั้งหนึ่งในชีวิตเคยได้มาที่นี่ ภาพผู้หญิงคนนั้นยังคงอยู่ในความทรงจำ ไม่ใช่เพราะความสวยเลิศเลอ แต่เธอทำให้รู้สึกว่า “นาฬิกาของเธอเดินช้ากว่านาฬิกาของเรามากมาย” นานมากแล้วที่ไม่เคยใช้เวลาอยู่กับตัวเองเลย วันๆนึงเวลาหมดไปอย่างรวดเร็วจนกระทั่งลืมมองความสุขเล็กๆอันเรียบง่าย เธอทำให้คิดอะไรได้หลายอย่างมากมาย

งานเข้าก่อนกลับ

กลับมาที่เฮือนพัก เจอดราม่าอีกแล้ว ก็เมื่อวานเราจ่ายค่าที่พักเพิ่มไปแล้วเพื่อขอเลทเช็คเอาท์ตอน 4 โมงเย็น แต่ไหง ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้ งานนี้มีโวย! แต่ไอ้คนที่รับเรื่องดันหยุดงาน ไอ้คนที่อยู่ก็ได้แต่บอกว่า “ไม่รู้เรื่อง” ยื้อกันอยู่นาน สุดท้ายเจ้าของที่พักอนุญาตให้แค่ใช้ห้องน้ำเพื่ออาบน้ำเท่านั้น เซงจิต ตังค์ก็จ่ายไปแล้ว

ขอร่ำลาหลวงพระบางด้วยอาหารมื้อเย็นดีๆสัหหน่อย บรรยากาศดีติดริมแม่น้ำโขง ลองสั่งไคแผ่นมาชิมเพราะในหลายๆรีวิวแนะนำว่าถ้ามาที่นี่แล้วไม่ควรพลาด ที่ไหนได้…มันคือตะไคร่น้ำดีๆนี่เอง รสชาดกินไม่ได้เลย!!! อาหารอย่างอื่นก็รสชาดแย่เหมือนกันหมด ไม่แนะนำร้านนี้ (Riverside Restaurant)

เมื่อถึงเวลา รถจัมโบ้ก็มารับเราไปขึ้นรถที่สถานีเดินรถโดยสารหลวงพระบาง พอมาถึงสถานีเดินรถ ได้ยินฝรั่งกลุ่มนึงโวยวายเสียงดัง ฟังๆดูจับความได้ว่า คนกลุ่มนี้ซื้อตั๋วผ่านทัวร์เอเย่นต์ซึ่งเอเย่นต์บอกว่าเป็นรถพิเศษ แต่สุดท้ายกลายเป็นแค่รถโดยสารประจำทาง แถมออกไม่ตรงเวลาล่าช้ากว่ากำหนด แว่วๆว่าถ้าคนกลุ่มนี้ไปไม่ทันขึ้นเครื่อง เขาจะฟ้องบริษัทนี้ สุดท้ายเอเย่นต์จึงยอมหารถวิ่งไปส่ง ส่วนพวกเราก็ได้แต่นั่งรอเวลารถออก

08.00 ได้เวลารถออก เป็นรถ V.I.P. ปรับอากาศคล้ายรถป.1 บ้านเรา แต่ที่โชคร้ายคือเราได้ที่นั่งแถวหลังสุด เด้งๆดึ๋งๆจนลำไส้แทบทะลักออกจมูก ถือว่าเป็นวิบากกรรมของพวกเราก็แล้วกัน ยังดีกว่าไม่มีรถกลับ … ”ลาก่อนหลวงพระบาง”