ระนองของเรา #1

กรอบเวลา Time Frame

dav

ผมเคยได้อ่านวิจัยของด็อกเตอร์ท่านหนึ่งที่สอนมหาลัยชื่อดังอันดับต้นๆของอเมริกา

วิจัยนี้น่าสนใจในข้อสรุปที่ว่า “มนุษย์มักมองข้ามความสำคัญของเวลา หากไม่มีกรอบเวลามากำหนด”🕒

ผมมองย้อนตัวเองทันที และตัดสินใจพาครอบครัวออกเดินทางโดยไม่ต้องรอให้กรอบเวลามากำหนด

ผมเลือกเดินทางไปจังหวัดระนอง ซึ่งเป็นจังหวัดที่พวกเราไม่มีใครเคยไปมาก่อน เปรียบเหมือนแผนที่อันมืดมิด ที่ไม่มีใครรู้เลยว่ามีอะไรซ่อนอยู่ภายใต้ความมืด?

“จะไปจริงๆเหรอ?” แฟนผมถามย้ำด้วยความไม่มั่นใจ เพราะโดยปกติแล้ว ครอบครัวเราจะออกเที่ยววันหยุดเสาร์-อาทิตย์ในระยะทำการไม่เกิน 500 กม. หรือขับรถไม่เกิน 6 ชม. หากเกินกว่านี้จะรู้สึกเหมือนถูกบีบด้วยกรอบเวลา

เราจึงเติมวันหยุดเพิ่มเข้าไปอีก 1 วัน ด้วยการลาพักร้อน รวมเป็นทริป 3 วัน 2 คืน กับระยะทางไปกลับประมาณ ~1,400 กม.

สถานที่ ความผูกพันธ์ ความทรงจำ

วันแรกของการเดินทาง รู้สักตื่นเต้น เพราะนี่คือการขับรถลงใต้ครั้งแรกของผม เนื่องจากผมเป็นคนภาคเหนือ การเที่ยวภาคใต้จึงเป็นอะไรที่เป็นไปได้ยาก เพราะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะขับรถจากเหนือลงใต้ และใช้จำนวนเงินไม่น้อย ส่วนเรื่องการเดินทางโดยเครื่องบินนั้น ลืมไปได้เลย ค่าตั๋วเครื่องบินภายในประเทศในสมัยนั้น ราคาเป็นหมื่นๆ จะได้เที่ยวใต้ทีต้องรอทางโรงเรียนจัดทัศนศึกษา ซึ่งใต้สุดก็เพียงแค่ชะอำ

พอเรียนจบมีงานทำ ก็ขยับขยายระยะทางลงไปอีกหน่อยที่อ่าวมะนาวและหาดบ้านกรูด อ.ทับสะแก แผนที่ชีวิตของผม มองเห็นภาคใต้ไกลสุดได้แค่นั้น

วันนี้ผมกำลังขับรถผ่าน อ.ทับสะแก ภาพความทรงจำต่างๆใหลผ่านเข้ามาในหัว เหมือนกำลังเปิดสไลด์โชว์

เวลาที่เราได้ย้อนกลับมายังสถานที่ที่เรารู้สึกผูกพันธ์กับมัน ไม่ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าสถานที่แห่งนั้นจะเปลี่ยนไปมากเพียงใด แต่ความทรงจำมักจะยังคงอยู่ตรงนั้นอย่างชัดเจน เช่น ตอนที่เราได้กลับไปโรงเรียนสมัยตอนอยู่ชั้นประถม เรามักจะนึกถึงภาพเก่าๆ

ด้านหลังโรงเรียนที่เคยเป็นป่ารกๆที่เราเคยไปวิ่งเล่นกับเพื่อนๆ ทำซุ้มโพรงไม้และทึกทักกับเพื่อนว่าเป็นฐานปฏิบัติการของพวกเรา แต่วันนี้กลายเป็นสนามฟุตบอลกว้างใหญ่ โล่งหูโล่งตา แต่ภาพป่ารกๆและซุ้มโพรงไม้ก็ไม่เคยเลือนหายไปจากความทรงจำ

เหมือนกับที่ผมกำลังรู้สึกอยู่ตอนนี้ ตอนที่ขับรถผ่าน อ.ทับสะแก

ผมเคยมาที่นี่เมื่อนานมากแล้ว จากการที่ได้รับรางวัลเขียนบทความท่องเที่ยว

ททท. ได้มอบรางวัลให้มาพักที่บ้านกรูด อ.ทับสะแก เพื่อเป็นการโปรโมทชายหาดบ้านกรูด ซึ่งสมัยนั้นยังไม่ค่อยเป็นที่นิยม และรู้จักกันเฉพาะกลุ่ม

Baan Grood Beach

ชายหาดที่นี่เงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากๆ(ส่วนมากเป็นฝรั่งที่มาพัก) ถนนเลียบชายหาดแตกต่างจากถนนเลียบชายหาดบางแสน, พัทยา, จอมเทียน ชัดเจน สามารถปั่นจักรยานทอดน่องชิวๆได้โดยไม่ต้องกลัวโดนเฉี่ยว 🚲 อากาศบริสุทธิ์ปราศจากมลพิษ และที่สำคัญไม่มีร่ม/เต็นท์มาบดบังทัศนียภาพ อันนี้เป็นจุดขายของที่นี่เลย ถือเป็นความร่วมมือกันระหว่าง อบต.และผู้ประกอบการที่จะยกระดับชายหาดแห่งนี้ให้โดดเด่นเรื่องทัศนียภาพ

Private beach @Baan Grood

อีก 5 ปีต่อมาก็เหมือนเรื่องบังเอิญที่ได้กลับมาที่นี่อีกครั้ง เพราะแฟนผมร่วมสนุกกับเพจท่องเที่ยวเพจหนึ่ง แล้วก็ได้รับรางวัลให้มาเที่ยวที่นี่อีก! มันทำให้ผมรู้สึกผูกพันธ์กับที่นี่

แหล่งท่องเที่ยวบ้านกรูด

และนั่นคือภาพความทรงจำที่ปรากฏขึ้นระหว่างที่ขับรถผ่าน อ.ทับสะแก

อย่างที่ทราบกันว่า ประจวบคีรีขันธ์ เป็นจังหวัดที่ค่อนข้างยาว กว่าจะขับรถผ่านจังหวัดนี้ได้ต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง

แต่สำหรับผม มันผ่านไปเร็วมากทั้งเวลาและความทรงจำ…

เปิดแผนที่ให้ชีวิต

เส้นทางลงใต้เหมือนกับเส้นทางขึ้นเหนือ คือ มีโค้งเหมือนกัน ต่างกันตรงที่ความลึกของโค้ง

ทางเหนือจะโค้งลึกมาก ถ้าวิ่งไปเจอป้าย “โค้งอันตราย” นี่ผ่อนคันเร่งและเหยียบเบรครอได้เลย

เราแวะกินอะไรง่ายๆเมื่อเข้าเขตชุมพร เป็นร้านอาหารตามสั่งริมทาง รอบล้อมด้วยไร่นาข้าวสีเขียวสด แถมมีฝนพรำๆ

จากร้านอาหารริมทางธรรมดา ยกระดับมาเป็นร้านอาหารติดดาวเลยทีเดียว

หลังจากกินข้าวเสร็จ เราออกเดินทางกันต่อทันที เพราะรู้ว่าจุดหมายคืออะไร และอีกไกลแค่ไหน ผมไม่อยากไปถึงระนองหลังพระอาทิตย์ตกดิน เนื่องจากไม่ได้จองที่พักไว้ล่วงหน้า จึงอยากจะเผื่อเวลาไว้หาที่พักบรรยากาศดีๆ ติดธรรมชาติ

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา เวลาไปหาที่พักตอนมืด เรามักจะได้ที่พักไม่ตรงกับความคาดหวังสักเท่าไหร่ เพราะจะถูกบีบจำกัดด้วยเวลา ต้องรีบตัดสินใจ เหมือนกับชีวิตคนเรานี่แหละ ตอนหนุ่มสาวมีคนเข้ามาให้เลือกมากมาย แต่ไม่เลือก เพราะสเป็คที่ตั้งไว้สูง สุดท้ายอายุล่วงเลยเข้าเลข 3 กลางๆ มีคนเข้ามาน้อยลง สเป็คที่เคยตั้งไว้สูงก็เลยต้องลดให้ต่ำลง!

เส้นทางจากชุมพรตัดเข้าระนอง เริ่มมีความคดเคี้ยวมากขึ้น โดยเฉพาะช่วงที่วิ่งตัดหุบเขา มีโค้งให้ได้เล่นมากมาย พอขับสนุกไม่ง่วง แต่ในสภาวะฝนตกแบบนี้ ผมขอไม่เสี่ยงดีกว่า อีกอย่างคือไม่ชินเส้นทางด้วย

แต่ถึงกระนั้น แฟนผมที่นั่งอยู่เบาะท้ายกับลูก ปล่อยให้ผมนั่งขับด้านหน้าอยู่คนเดียว ก็คอยพูดเตือนสติผมอยู่เรื่อยๆตลอดทางว่า

“จะขับเร็วไปไหน”

เป็นคำถามที่ตอบง่ายมาก ….. “ไประนองจ้า!”

พอวิ่งผ่านหุบเขา เรามาเจอหมู่บ้านเล็กๆที่สองข้างทางเต็มไปด้วยซาลาเปาวางขายติดๆกันแบบรัวๆเป็นแนวยาวๆ เหมือนมหกรรม ซาลาเปา แฟร์

ใช่ครับ เรามาถึงซาลาเปาทับหลีที่ขึ้นชื่อแล้ว! หมายความว่าเราเข้าสู่เขต จ.ระนองด้วยความปลอดภัย